วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555


 การประยุกต์ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

-ระบบเครือข่ายทำให้เกิดการสื่อสาร
-รูปแบบการใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์
   ระบบเครือข่ายแบ่งตามลักษณะการทำงาน  ได้เป็น  3  ประเภท  คือ
1.ระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง  (Centrallized  Networks)
2.ระบบเครือข่ายแบบ  Peer-to  Peer
3.ระบบเครือข่ายแบบ  Client/Server
   แบบรวมศูนย์กลาง       เป็นระบบที่มีเครื่องหลักเพียงเครื่องเดียวที่ใช้ในการประมวลผล  ตั้งอยู่ที่ศูนย์กลางและมีการเชื่อมต่อไปยังเครื่องเทอร์มินอลที่อยู่รอบๆ  ใช้การเดินสายเคเบิ้ลเชื่อมต่อกันโดยตรง  เพื่อให้เครื่องเทอร์มินอลสามารถเข้าใช้งาน  โดยส่งคำสั่งต่างๆ  มาประมวลผล
    แบบ  Peer-to  Peer      แต่ละสถานีงานบนระบบเครือข่าย แบบ  Peer-to  Peer  จะมีความเท่าเทียมกันสามารถที่จะแบ่งปันทรัพยากรให้แก่กันและกันได้  เช่น  การใช้เครื่องพิมพ์หรือแฟ้มข้อมูลร่วมกันในเครือข่าย  เครื่องแต่ละสถานีงานมีขีดความสามรถในการทำงานได้ด้วยตัวเอง  คือจะต้องมีทรัพยากรภายในของตัวเอง  เช่น  ดิสก์สำหรับเก็บข้อมูล  หน่วยความจำที่เพียงพอ  และมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลได้
    แบบ  Client/Server    สามารถสนับสนุนให้มีเครื่องลูกข่ายได้เป้นจำนวนมาก  และสามารถเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้หลายสถานี  ทำงานโดยมีเครื่องServer  ที่ให้บริการเป็นศูนย์กลางอย่างน้อย 1 เครื่อง  และมีการบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ  จากส่วนกลาง  ซึ่งคล้ายกับระบบเครือข่ายแบบรวมศูนย์กลาง  แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ  เคื่องที่ทำหน้าที่ให้บริการในระบบ Client/Server  ราคาไม่แพงมาก  ซึ่งอาจใช้เพียงเครื่องไมโครคอมพิวเตอรืสมรรถนะสูงในการควบคุมการให้บริการทรัพยากรต่างๆ
    นอกจากนี้เครื่องลูกข่ายยังจะต้องมีความสามารถในการประมวลผล  และมีหน้าที่สำหรับจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่นเป็นของตนเอง
  ระบบเครือข่ายแบบ Client/Server       เป็นระบบที่มีความยืดหยุ่นสูง  สนับสนุนการทำงานแบบ  Multiproocessor สามารถเพิ่มขยายขนาดของจำนวนผู้ใช้ได้ตามต้องการ  นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มจำนวนผู้ใช้ได้มาก  ข้อเสียคือ  ยุ่งยากในการติดตั้งมากกว่าระบบ  Peer-to  Peer  

  หน่วยความจำสำรอง ( Secondary Memory Unit )       
        เก็บความจำสำรอง  หรือหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง เป็นหน่วยเก็บที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไปหลังจากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
                หน่วยความจำสำรองมีหน้าที่หลักคือ
 1. ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใชในอนาคต
 2. ใช้ในการเก็บข้อมูล โปรแกรมไว้อย่างถาวร
 3. ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่ง
                ประโยชน์ของหน่วยความจำสำรอง
                   หน่วยความจำสำรองจะช่วยแก้ไขปัญหาการสูญเสียของข้อมูล  อันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับเพราะข้อมูลต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล  เมื่อเรียบร้อยแล้วผลลัพธ์ที่ได้จะถูกนำไปเก็บในความจำหลักประเภทแรม  หากปิดเครื่องหรือมีปํญหาทางไฟฟ้า  อาจทำให้คอมพิวเตอร์สูญหายจึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำสำรอง  เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้ใช้งานในครั้งต่อไป  หน่วยความจำประเภทนี้ส่วนใหญ่จะพบในรูปแบบสื่อที่ใช้การบันทึกข้อมูลภายนอก  เช่น  ฮาร์ดดิสก์  แผ่นบันทึก  ซิปดิสก์  ซีดีรอม  ดีวีดี  เทปแม่เหล็ก  หน่วยความจำแบบแฟลช  หน่วยความจำสำรองนี้ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์  แต่เครื่องคอมพวเตอร์ก็สามารถทำงานได้
              ส่วนแสดงผลข้อมูล
                 คือ  ส่วนที่แสดงข้อมูลจากสัญญาณไฟฟ้าในหน่วยประมวลผลกลางให้เป็นรูปแบบที่คนเราสามารถเข้าใจได้  อุปกรณ์ที่แสดงผลข้อมูลได้แก่  จอภาพ  (Monitor ) เครื่องพิมพ์ ( Printer )  เครื่องพิมพ์ภาพ ( Ploter ) และลำโพง ( Speaker ) เป็นต้น
                        บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ ( PEOPLEWARE )
                 หมายถึง  คนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้หรือควบคุมให้การใช้คอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างราบรื่นอาจจะประกอบด้วยคนเพียงคนเดียว  หรือหลายคนช่วยกันรับผิดชอบโครงสร้างของหน่วยงานคอมพิเตอร์
                ประเภทของบุคลากร ( Peopleware )
1. ฝ่ายวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
2. ฝ่ายเกี่ยวกับโปรแกรม
3. ฝ่ายปฏิบัติงานเครื่องและบริการ
             บุคลากรในหน่วยงานคอมพิวเตอร์
1. หัวหน้าหน่วยงานคอมพิวเตอร์  EDP Manager )
2. หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนระบบงาน  ( System  Analast  หรือ  SA )
3. โปรแกรมเมอร์  ( Progarmmer )
4. ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์  ( Computer  Operrator )
5. พนักงานจัดเตรียมข้อมูล ( Data Entry Opertor )
         - นักวิเคราะห์ระบบงาน ทำการศึกษาระบบงานเดิม  ออกแบบระบบงานใหม่
         -โปรแกรมเมอร์ นำระบบงานใหม่ที่นักวิเคราะห์ระบบออกแบบไว้มาสร้างป็นโปรแกรม
          -วิศกรระบบ  ทำหน้าที่ในการออกแบบ  สร้าง ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาฮาร์ดแวร์
         -พนักงานปฏิบัติการ  ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่หรือภารกิจประจำวัน
-      อาจแบ่งคอมพิวเตอร์ได้ ระดับ  ดังนี้
1. ผู้จัดการระบบ  (System  Manager)   คือ ผู้วางนโยบายการใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
2. นักวิเคราะห์ระบบ ( System  analyst)  คือ       ผู้ที่ศึกษาระบบงานเดิมหรืองานใหม่และทำการวิเคราะห์ให้เหมาะสม
3. โปรแกรมเมอร์  (Progarmmer ) คือ ผู้เขีนโปรแกรมสั่งงานคอมพิวเตอร์เพื่อให้ทำงานตามความต้องการของผู้ใช้
4. ผู้ใช้  (User) คือ ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป  ซึ้งต้องเรียนรู้วิธีการใช้งานเครื่องและวิธีการใช้งานโปรแกรม  เพื่อให้โปรแกรมที่มีอยู่สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
                    
                                        ซอฟต์แวร์ ( Software )
             คือ การลำดับขั้นตอนการทำงานของคำสั่งที่จะทำหน้าที่สั่งคอมพิวเตอร์ว่าให้ทำอะไร  เป็นชุดของโปรแกรมหลายๆโปรแกรมนำมารวมกันใช้สามารถทำงานได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้องการ  เรามองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้แต่เราสามารถสร้าง  จัดเก็บ  และนำมาใช้งานหรือเผยแพร่ได้ด้วยสื่อหลายๆชนิด  เข่น แผ่นบันทึก  แผ่นซีดี  แฟล็ชไดร์ฟ  ฮาร์ดดิสก์  เป็นต้น

                  หน้าที่ของซอฟต์แวร์
           ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างคอมพิวเตอร์และเครื่องคอมพิวเตอร์  ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไรได้เลย  ซอฟต์แวร์สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แบ่งได้เป็นหลายประเภท
                 ประเภทของซอฟต์แวร์
-   แบ่งได้  ประเภทใหญ่ๆ คือ
           - ซอฟต์แวร์ระบบ  ( System  Software )
          - ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ( Application  Software )
          และซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ
1 .ซอฟต์แวร์ระบบ ( System  Software )
    เป็นโปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการเก็บระบบ  หน้าที่การทำงาน  คือ  ดำเนินงานพื้นฐานต่างๆของระบบคอมพิวเตอร์  เช่น  รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ
    หน้าที่ของซอฟต์แวร์ระบบ
1. ใช้ในการจัดการหน่ยรับเข้าและหน่วยส่งออก  เช่น  รับรู้การกดแป้นต่างๆบนแผงแป้นอักขระ
2. ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ  เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก
3. ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้กับเครื่อง
     ประเภทของซอฟต์แวร์ระบบ
แบ่งเป็น  2  ประเภท  คือ
1. ระบบปฏิบัติการ ( Operating )
2. ตัวแปลภาษา
   1.ระบบปฏิบัติการ  หรือเรียกย่อๆว่า  โอเอส ( Operating  System : OS  เป็นซอฟต์แวร์ใช้ในการดูแลระบบคอมพิวเตอร์  ประกอบด้วย
            1.1 ดอส
            1.2 วินโดวส์ ( Windows )
                 พัฒนาต่อจากดอสโดยสั่งงานจากเมาส์มากขึ้นแทนการใช้แผงแป้นอักขระเพียงอย่างเดียว
            1.3 ยูนิกส์ ( Unix )
                  พัฒนามาตั้งแต่ครั้งที่ใช้เครื่องมินิคอมพิวเตอร์  เป็นเทคโนโลยีแบบปิด
          1.4 ลีนุกซ์ ( Linux )
                พัฒนาการมาจากยูนิกส์สามารถทำงานได้บนซีพียูหลายตระกูล  เช่น อินเทล
         1.5 แมคอินทอช  ( Macintosh )  
               เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
               ชนิดของระบบปฏิบัติการ  จำแนกได้เป็น  3  ชนิดด้วยกัน  คือ
     1. ประเภทใช้งานเดี่ยว  (Single – tasking)  ประเภทนี้จะกำหนดใช้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้ครั้งละหนึ่งงาน
     2. ประเภทใช้หลายงาน ( Multi – tasking ) สามารถควบคุมการทำงานพร้อมกันหลายงานในขณะเดียวกัน  ผู้ใช้สามารถทำงานกับซอฟต์แวร์ประยุกต์ได้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน  เช่น  ระบบปฏิบัติการ  Windows  9 8 ขึ้นไป  และ UNIX  เป็นต้น
    3. ประเภทใช้งานหลายคน ( Multi – user ) ในหน่วยงานบางแห่งอาจต้องใช้คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ทำหน้าที่ประมวลผล  จึงต้องใช้ระบบปฏิบัติการที่มีความสามารถสูง

2. ตัวแปลภาษา

          การพัฒนาซอฟต์แวร์ต้องอาศัยซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงเพื่อแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีหลายภาษาซึ่งสร้างขึ้นให้ผู้เขียนโปรแกรมเขียนชุดคำสั่งได้ง่าย เข้าใจได้เพื่อสามารถปรับปรุงแก้ไขซอฟต์แวร์ในภายหลังได้

          ภาษาระดับสูงที่พัฒนาขึ้นทุกภาษาต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งได้แก่ ภาษา Basic , Pascal , C และภาษาโลโก้เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์ทึ่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกได้แก่ Fortran Cobol และภาษา อาร์ฟีจี

 2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ Application Software

ซอฟต์แวร์ที่ใช้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ทำงานเฉพาะด้าน เช่น การจัดพิมพ์รายงาน การนำเสนอ การจัดทำบัญชี การตกแต่งภาพ หรือการออกแบบเว็บไซต์ เป็นต้น
         ประเภทของซอฟต์แวร์ประยุกต์ แบ่งตามลักษณะการผลิต จำแนกได้เป็น 2 ประเภท
     1. ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้เองโดยเฉพาะ Proprietary  Software
      2.ซอฟต์แวร์ที่หาซื้อได้ทั่วไป Packaged Software มีทั้งโปรแกรมเฉพาะCustomized Package และ โปรแกรมมาตรฐาน Standard  Package
แบ่งตามกลุ่มการใช้งาน จำแนกได้ 3 กลุ่มใหญ่ๆ
    1. กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ Business
    2. กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิก และ มัลติมีเดีย Graphic and Multimedia
    3 กลุ่มใช้งานบนเว็บ Web and Communications

 1.กลุ่มการใช้งานทางด้านธุรกิจ Business
        ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกนำมาใช้โดยมุ่งหวังในการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การจัดพิมพ์ รายงานเอกสาร นำเสนอผลงานและการบันทึกนัดหมายต่างๆ ตัวอย่างเช่น- โปรแกรมประมวลคำ อาทิ Microsoft Word Sun Star office Writer
- โปรแกรมตารางคำนวณ อาทิ  Microsoft Excel , Sun Star office Cale
 -โปรแกรมนำเสนอผลงาน อาทิ Microsoft Power Point Sun Star office Impress
      2. กลุ่มการใช้งานทางด้านกราฟิก และ มัลติมีเดีย Graphic and Multimedia
  ซอฟต์แวร์กลุ่มนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยจัดการด้านงานกราฟิกและมัลติมีเดียเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น เช่น ใช้ตกแต่ง วาดรูป ปรับเสียง ตัดต่อ ภาพเคลื่อนไหวและการสร้างและออกแบบเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น
-โปรแกรมงานออกแบบ อาทิ Microsoft Visio Professional
-โปรแกรมตกแต่งภาพ อาทิ CorelDraw , Adobe Photoshop
-โปรแกรมตัดต่อวิดีโอและเสียง อาทิ Adobe premiere , Pinnacle Studio DV
-โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย อาทิ Adobe Author ware , Tool book  Instructor , Adobe Director
-โปรแกรมสร้างเว็บ อาทิ Adobe Flash , Adobe Dreamweaver
        3.กลุ่มการใช้งานบนเว็บและการติดต่อสื่อสาร
   เมื่อเกิดการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซอฟต์แวร์กกลุ่มนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อใช้งานเฉพาะเพิ่มมากขึ้น เช่น โปรแกรมการตรวจเช็ดอีเมล์ การท่องเว็บไซค์ การจัดการดูแลเว็บ การจัดการดูแลเว็บ ตัวอย่างโปรแกรมในกลุ่มนี้ได้แก่
   -โปรแกรมจัดการอีเมล์ อาทิ Microsoft outlook , Mozzila Thunderbird
- โปรแกรมท่องเว็บ อาทิ Microsoft Internet Explorer , Mozzila Firefox
-โปรแกรมประชุมทางไกล Video conference อาทิ  Microsoft Net meeting
-โปรแกรมส่งข้อความด่วน Instant Messaging อาทิ MSN Messenger / Window Messenger , ICQ
-โปรแกรมสนทนาบนอินเตอร์เน็ต อาทิ PIRCH , MIRCH
ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
  การใช้ภาษาคล่องนี้แม้ว่าคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมากเพราะเข้าใจจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษรเป็นประโยคข้อความภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่าภาษา คอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยูมากมายบางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้ส่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล

 ซอฟต์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
     เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบที่บอกสิ่ง ที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เรียกว่าภาษาคอมพิวเตอร์
  ภาษาคอมพิวเตอร์ในแต่ละยุคประกอบด้วยภาษาเครื่อง Machine Languages เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้าใช้แมนตัวเลข และ 1 ได้ผู้ออกแบบทางคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข และ 1 นี้เป็นหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้ส่งงานคอมพิวเตอร์มากกว่าภาษาเครื่อง
   ภาษาแอสเซมบลี Assembly Languages
        เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ ถัดจากภาษาเครื่องและภาษาแอสเซมบลีช่วยลดความยุ่งยากลงในการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อกับคอมพิวเตอร์  ภาษาแอสเซมบลีก็ยังคงมีความใกล้เคียงภาษาเครื่องอยู่มากและจำเป็นต้องใช้ตัวแปลภาษา

ภาษาระดับสูง High – Level Languages 
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ในยุคที่ เริ่มมีการใช้ชุดคำสั่งที่เรียกว่า Statement ที่มีลักษณะเป็นประโยคภาษาอังกฤษ ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียนรู้และสามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น
ภาษาระดับสูงมีอยู่ ชนิด คือ
 คอมไพเลอร์ Compiler และ อินเทอร์พรีเตอร์ Interpreter
 - คอมไพเลอร์ จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อนแล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
  อินเทอร์พรีเตอร์  จะทำการแปลที่ละคำสั่งแล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป
-ข้อแตกต่าง   ระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่แปลโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง